วันดินโลก (World Soil Day): จาก ศาสตร์พระราชา สืบสาน รักษา และต่อยอด สู่การพัฒนาทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน
3 กรกฎาคม 2566ประเภท : ข่าวประชาสัมพันธ์
ข้อมูลรูปที่เกี่ยวข้อง
ประวัติวันดินโลก
เมื่อปี พ.ศ. 2556 ระหว่างการประชุมคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจและการเงินของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสมัชชาที่ 68 ณ มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชุมมีมติผลักดันการตั้ง "วันดินโลก" (World Soil Day) โดยกำหนดให้ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี ต่อมาวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สตีเฟน นอร์ตคลิฟฟ์ กรรมการบริหารสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ และคณะ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายรางวัล The Humanitarian Soil Scientist หรือรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม เนื่องจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีโครงการในพระราชดำริมากมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่ดินเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เช่น โครงการหญ้าแฝก โครงการแกล้งดิน โครงการแก้ดินเปรี้ยว เป็นต้น โดยทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าว ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้ใช้วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันดินโลกครั้งแรกใน พ.ศ. 2557
ความสำคัญของวันดินโลก
ดิน ถือเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศ แต่หลายสิบปีที่ผ่านมา ดินได้รับผลกระทบจากปัญหาสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก เมื่อดินเกิดความเสื่อมโทรมก็ส่งผลต่อคุณภาพด้านเกษตรกรรมและด้านโภชนาการ การก่อตั้งวันดินโลกจึงถือเป็นการรณรงค์ให้ทุกฝ่ายหันมาใส่ใจพัฒนาทรัพยากรดินให้มีความยั่งยืนอย่างจริงจัง เพราะดินสามารถสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรโลก นำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนและลดปัญหาการขาดแคลนอาหารได้
ทั้งนี้ สาเหตุที่กำหนดให้วันดินโลก ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม นั้น สืบเนื่องจากการประชุมสภาโลกแห่งปฐพีวิทยา (World Congress of Soil Science) ครั้งที่ 17 เมื่อปี พ.ศ. 2545 ทางสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences) ได้ตระหนักถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการพัฒนาทรัพยากรดิน โดยเฉพาะการพัฒนาด้านการเกษตร จึงได้เลือกวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ เป็นวันดินโลก เพื่อเทิดพระเกียรติพระวิริยอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในด้านการปกป้องและพัฒนาทรัพยากรดิน ซึ่งถ้าให้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้านการพัฒนาทรัพยากรดิน เราก็ขออนุญาตพาคนไทยทุกคนมาทบทวนโครงการในพระราชดำริเกี่ยวกับดินของในหลวง รัชกาลที่ 9 ดังนี้กันค่ะ
1. โครงการศึกษาฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ)
ตั้งอยู่ที่บ้านเขาชะงุ้ม หมู่ที่ 2 ตำบลเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและสาธิตวิธีการฟื้นฟูปรับปรุงดินเสื่อมโทรมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นรูปแบบและส่งเสริมอาชีพเกษตรกรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ โครงการ ได้เรียนรู้วิธีการจัดการดิน น้ำ และพืช อย่างถูกต้อง มีความยั่งยืน ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
2. โครงการทดลองแก้ปัญหาดินเปรี้ยว
ด้วยพระปรีชาสามารถของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่มีพระราชดำริแก้ปัญหาดินเปรี้ยวในจังหวัดนครนายก ด้วยการใช้วิธีธรรมชาติอย่างการเปลี่ยนถ่ายดินจากแปลงหนึ่งสู่แปลงหนึ่ง เพื่อลดความเปรี้ยวของดิน อีกทั้งพระองค์ยังได้พระราชทานพระราชดำริให้ใช้ปูนมาร์ลและสาหร่ายในการปรับสภาพน้ำให้ดีขึ้น และต่อมาได้พระราชทานพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินการศึกษาผลกระทบของการใช้เถ้าลอยลิกไนต์ เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวเพิ่มเติมอีกด้วย
3. โครงการหญ้าแฝก
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงศึกษาเรื่องการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำจากเอกสารของธนาคารโลก ที่ Richard Grimshaw ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย และพระองค์ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับหญ้าแฝก โดยทรงให้ทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน จนปัจจุบันมีหน่วยงานกว่า 50 หน่วยงาน ดำเนินงานสนองพระราชดำริการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ส่งผลให้การดำเนินงานก้าวหน้ามากขึ้นตามลำดับ
4. โครงการแกล้งดิน
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงรับทราบความเดือดร้อนของพสกนิกรในภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรในจังหวัดนราธิวาส ที่ประสบปัญหาดินเปรี้ยว ทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาดินพรุเพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยว ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาและพัฒนาพื้นที่พรุ ซึ่งเป็นดินเปรี้ยวให้เป็นดินที่มีคุณภาพ สามารถทำการเพาะปลูกได้ ซึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้ใช้วิธี "การแกล้งดิน" คือ เริ่มจากการแกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกัน เพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดินพรุที่มีสารประกอบของกำมะถันที่จะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดจัดเมื่อดินแห้ง จากนั้นจึงทำการปรับปรุงดินที่เป็นกรดจัดนั้นด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่จะลดความเป็นกรดลงมาให้อยู่ในระดับที่จะปลูกพืชเศรษฐกิจได้ เช่น ข้าว
5. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน
ตั้งอยู่ที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่ราษฎรน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน จำนวน 216 ไร่ ครั้นพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทอดพระเนตรเห็นสภาพความทุรกันดารของผืนดิน จึงมีพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ป่าไม้ ณ พื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งหมู่บ้านรอบ ๆ ศูนย์ โดยการวางแผนปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ทั้งยังให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า และสนามทดลองทางด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจเข้ามาดูงานและนำแนวพระราชดำริไปปฏิบัติตาม และพัฒนาอาชีพและพื้นที่ของตนเพื่อเพิ่มผลผลิต เพื่อให้ประชาชนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมทั้งพระองค์ยังมีพระราชดำริให้ส่งเสริมศิลปาชีพและหัตถกรรมพื้นบ้าน เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้จากอาชีพหลักอีกทางหนึ่งด้วย
6. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย
หนึ่งในโครงการพระราชดำริที่ตั้งอยู่ ณ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งพื้นที่แห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์ แต่ได้ถูกราษฎรเข้าบุกรุกทำลายป่าเพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรม จนไม่เหลือป่าไม้และสัตว์ป่า ทำให้พื้นที่แห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล และสภาพพื้นดินเสื่อมโทรมอย่างหนัก ทำการเกษตรกรรมไม่ได้ผล พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาพื้นที่บริเวณห้วยทราย เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านป่าไม้อเนกประสงค์ โดยยึดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้สมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ และสามารถฟื้นฟูให้มีศักยภาพในการทำเกษตรกรรมและความเป็นอยู่ของประชากรได้อย่างต่อเนื่อง
7. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติทั้งด้านทรัพยากรต้นน้ำ ด้านเกษตรกรรม ด้านปศุสัตว์และโคนม รวมทั้งด้านอุตสาหกรรม เนื่องมาจากมีพระราชประสงค์ที่จะให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ทำหน้าที่เสมือนพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต ที่ประชาชนจะเข้าไปเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้
โดยในด้านดินและเกษตรกรรม มีพระราชดำริให้ศึกษาพัฒนาสภาพดินในพื้นที่ที่มีความลาดชัน ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างสูงสุด โดยได้ทำการทดลองปลูกพืชที่เหมาะสม ทดสอบประโยชน์ของดินชนิดนี้ในรูปแบบอื่น ๆ รวมทั้งศึกษาความยากง่ายในการชะล้างพังทลายของดินดังกล่าวไว้เพื่อหาวิธีป้องกัน และเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ส่งผลให้ประชากรได้มีพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัยได้อย่างไม่ลำบากมากนัก
หวนนึกไปถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อใด เมื่อนั้นก็รู้สึกว่าเราช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นประชาชนของพระองค์ท่านนะคะ ซึ่งนอกจากวันดินโลกจะเกิดขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระวิริยอุตสาหะของพ่อหลวง ร.9 แล้ว เราก็เชื่อว่าชาวไทยทุกคนคงทราบกันดีถึงความหมายของพระนามพระองค์ท่าน อันหมายถึง กำลังของแผ่นดิน...
"อันที่จริงเราชื่อ "ภูมิพล" ที่แปลว่า "กำลังของแผ่นดิน" แม่ก็อยากให้เธออยู่กับดิน เมื่อฟังคำพูดแล้วกลับมาคิด ซึ่งแม่คงจะสอนเราและมีจุดมุ่งหมายว่าอยากให้ติดดินและอยากให้ทำงานให้แก่ประชาชน"...พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ขอบคุณข้อมูลจาก :
- https://hilight.kapook.com/view/145861
- https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/1989112
คลิปวิดีโอการจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้ในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรดิน เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี การประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนประเทศไทยที่ยั่งยืน